ใช้อดีตกำหนดอนาคต ข้อผิดพลาดที่นักลงทุนมือใหม่มักทำ
ใช้อดีตกำหนดอนาคต ข้อผิดพลาดที่นักลงทุนมือใหม่มักทำสวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุน กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับกับผม Mr.Phillip สำหรับครั้งนี้ บทความที่ผมอยากจะแชร์ เป็นเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นกับนักลงทุนมือใหม่ที่ประสบการณ์ในการลงทุนยังน้อย ที่มักใช้อดีตมากำหนดอนาคต ซึ่งจะทำให้พอร์ตการลงทุนประสบกับการไม่เติบโตบ้าง หรือ บางครั้งถึงขั้นที่ติดลบเยอะเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาดูกันว่า ทำไมอดีตถึงไม่สามารถกำหนดอนาคตได้ในการลงทุน
นักลงทุนมือใหม่หลายท่านมักจะติดกับดักการลงทุน (อคติ) ที่มักคิดว่าบริษัทที่เราจะไปลงทุนเมื่อ 1-2 ปีที่งบการเงินออกมาดีมาก รายได้เติบโต 10-15 % แต่ราคาปัจจุบันของหุ้นในตลาดซื้อขายนั้นตกลงไปมากจึงทำให้คิดว่า มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นถูกกว่าความสามารถในการทำกำไรที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว บริษัทเหล่านั้นอาจจะไม่สามารถกลับไปมีงบการเงินที่ดีได้อีกเลยก็เป็นได้
เพื่อนๆ น่าจะเคยได้ยินได้ฟังจากนักวิเคราะห์การลงทุนว่า “ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต” ซึ่งในโลกของความจริงไม่มีใครสามารถยืนยันว่า ผลตอบแทนของบริษัทจะดีในอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100% แม้จะเป็นผู้บริหารบริษัทก็ตาม แต่แม้ว่า “อดีตไม่ได้ยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต แต่บอกองค์ประกอบของสินทรัพย์และจุดเริ่มต้นสำหรับปัจจุบันได้” ซึ่งการใช้อดีตมาคาดการณ์อนาคต โดยไม่สนใจแนวโน้มในปัจจุบัน มักให้ผลลัพธ์ที่อาจห่างจากความเป็นจริง
ผมขอยกตัวอย่างเป็น บริษัทมือถือ เจ้าดังอย่าง BlackBerry ถ้าหากเรายังพอจะจำได้ ในช่วงที่ยุคก่อนที่โทรศัพท์ Smart phone เริ่มเข้ามา เราจะเห็นมือถือ อย่าง BlackBerry และ IPhone เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า ในช่วงปี 2008 ราคาหุ้น BlackBerry ไปทำจุดสูงสุดที่ 147 เหรียญ ซึ่งถ้าหากเราไปดูในส่วนของงบการเงินที่ราคาหุ้นสูงที่สุดในปี 2008 รายได้ของบริษที่อยุ่ที่ 6,009 ล้านเหรียฯญ แต่ปีที่บริษัท BlackBerry รายได้สูงสุดไม่ใช่ปีดังกล่าวแต่เป็นปี 2011 ที่มีรายได้มากถึง 19,907 ล้านเหรียญ แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาอยู่ที่แถว 35เหรียญ ซึ่งถ้าหากนักลงทุนมือใหม่ดูเพียงรายได้ที่เติบโตจะประมาณการว่าราคาหุ้นไม่ควรจะอยู่ที่ 35 เหรียญ เนื่องจากรายได้มากกว่าปีที่ราคาหุ้นไปทำที่จุดสูงสุดที่ 147 เหรียญซะอีก จึงตัดสินใจลงทุนไปในตอนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปพอร์ตก็จะติดลบได้ เพราะฉะนั้นการใช้อดีตมาคาดการณ์อนาคต โดยไม่สนใจ แนวโน้มในอนาคตเป็นตัวบอกได้ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
มาถึงตรงนี้ ตัวอย่างของบริษัท BlackBerry น่าจะพิสูจน์ให้เพื่อนๆ เห็นแล้วว่า การใช้อดีตมาคาดการณ์อนาคต โดยไม่สนใจแนวโน้มในปัจจุบัน มักให้ผลลัพธ์ที่อาจห่างจากความเป็นจริงมากเนื่องจากเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนไป แต่บริษัทไม่มีการปรับตัวตามก็ทำให้มูลค่าของบริษัทลดลงตามไปด้วย เพื่อนๆ ก็อาจจะมีคำถามต่อว่าถ้าใช้อดีตมาพยากรณ์อนาคตไม่ได้ แล้วเราใช้อะไรได้บ้างล่ะ ที่จะมาดูว่าบริษัทนั้นมีอนาคคตน่าลงทุนหรือไม่
คำตอบก็คือ ในช่วงที่ผู้บริหารออกมากล่าวหลังจากประกาศงบออกมาแล้วว่าทิศทางของบริษัทจะมีการปรับตัวไปตามกระแสของโลก หรือยังยึดมั่นในแนวทางเดิมก็พอจะบอกแนวโน้มของรายได้ได้แล้วครับ
ดังนั้นเพื่อนๆ นักลงทุนมือใหม่นอกจากจะดูว่างบของบริษัทที่เราสนใจจะลงทุนเป็นบริษัทที่ยังเติบโตหรือไม่สิ่งที่ควรจะดูเพิ่มเติมคือ ผู้บริหารมีแนวทางในการบริหารงานอย่างไรหรือปรับตัวตามสถาณการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร โดยในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์มีการจะงาน Opportunity Day เพื่อให้ผู้บริหารมาพูดคุยถึงสถาณการณและแนวทางในการบริหารธุรกิจให้เราฟัง ถ้าหากเพื่อนๆ สนใจ ตารางงานมีดังนี้เลยครับ https://www.set.or.th/streaming/oppdayCalendar
หากเพื่อนๆ มือใหม่สนใจเริ่มต้นลงทุน บล.ฟิลลิป มีทีมงานคอยดูแลและมีหลักสูตรสัมมนาออนไลน์ ที่จัดอย่างสม่ำเสมอสำหรับมือใหม่โดยเฉพาะ
แจ้งความประสงค์ให้เราติดต่อกลับได้ที่ https://forms.gle/v93V5ANPu47PzHHR7 สอบถาม และติดตามข่าวกิจกรรม สาระความรู้ ผ่าน Line #มือใหม่ลงทุน #นักลงทุนมือใหม่ |