คุณวอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ เป็นอีกหนึ่งตำนานนักลงทุนเน้นมูลค่า (VI) ที่ยังมีลมหายใจ เก่งกาจในการหาหุ้นที่มูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยวิธีการคัดเลือกหุ้นบริษัทที่เรียกกันว่า Economic Moats ซึ่งเป็นบริษัทที่มีศักยภาพเหนือคู่แข่ง ราคาสูงพอประมาณ แต่มูลค่าจะเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว
 

 

 

Nike (NKE)
 

Nike เป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี ไม่เฉพาะแค่สายสนีกเกอร์หรือคนเล่นกีฬา เพราะในปัจจุบันไนกี้ได้ขยายธุรกิจมาทำด้านไลฟ์สไตล์ผ่านรองเท้าและเสื้อผ้าลำลองแนวสตรีทมากขึ้น สามารถขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ได้ในแทบทุกตลาดที่เข้าแข่ง

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2020 บริษัทมีสินทรัพย์สุทธิ 9.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีหนี้ทั้งหมด 12.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทไนกี้ยังคงขยายตลาดเข้าไปในประเทศอื่นๆ ในปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในระดับโลก
 

ConocoPhillips (COP)

ConocoPhillips ทำธุรกิจพลังงานหลายด้านทั้งน้ำมันดิบและแก๊ส ดำเนินการทั้งขุดเจาะ กลั่น-แปรรูป ไปจนถึงขายสินค้าในรูปแบบเชื้อเพลิงรถ ก๊าซธรรมชาติ และปิโตรเคมีสำหรับใช้งานในภาคอุตสาหกรรม

หลังผ่านพ้นปีที่เกิดความผันผวนในภาคพลังงาน น้ำมันดิบ และแก๊ส ConocoPhillips ได้ขาดทุนในช่วงไตรมาสสามของปี 2020 ไปกว่า 0.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.42 ดอลลาร์ต่อหุ้น ตรงข้ามกับไตรมาสสามของ 2019 ที่ทำกำไรได้ 3.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.74 ดอลลาร์ต่าหุ้น บริษัท ConocoPhillips ยังจ่ายปันผลไปถึง 0.5 พันล้านดอลลาร์และประกาศเพิ่มเงินปันผลในทุกไตรมาสอีกด้วย
 

Costco (COST)

บริษัท Costco เป็นธุรกิจที่ให้ร้านค้าต่างๆ มาเช่าโกดังเก็บสินค้าเพื่อเปิดขายให้คนทั่วไปได้มาซื้อของ เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตที่ช้าแต่มั่นคงมาหลายทศวรรษ โดยยึดหลักการทำกำไรเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ผู้เช่าได้จ่ายค่าเช่าในราคาที่ต่ำที่สุด ทำให้ Costco ได้ใจและ Loyalty จากลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยคนทั่วไปที่ต้องการซื้อสินค้าสามารถเสียค่าสมาชิกรายปีเพื่อเลือกซื้อสินค้าภายในโกดัง ซึ่งค่าสมาชิกรายปีจะถูกกว่าจ่ายเป็นครั้ง

Costco ขายสินค้าทั่วไป ทั้งของชำ ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และยังมีสินค้าอื่นๆ อีกเช่น เครื่องนุ่งห่ม สินค้าอิเล็กโทรนิกส์ สินค้าตามฤดูกาล เครื่องประดับ และอุปกรณ์ก่อสร้าง
 

Coca-Cola Company (KO)
 

วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ถือหุ้นของบริษัทเครื่องดื่มระดับโลกนี้มาตั้งแต่ปี 1988 และเป็นหนึ่งในการซื้อที่ประสบความสำเร็จที่สุด เพราะบริษัท Coca-Cola ได้เติบโตในระดับโลก ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจที่เฉพาะตัว เพียงขายแค่ไซรัปและตัวทำละลายให้กับโรงงานผลิตขวดและร้านอาหารต่างๆ และทำตามสูตรที่บริษัทกำหนดก็จะได้มาซึ่งเครื่องดื่มที่เราๆ คุ้นเคย

แม้ตลาดในสหรัฐจะค่อนข้างถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ด้วยความที่แบรนด์อยู่ตัว และมีสัดส่วนกำไรที่สูง ทำให้ Coca-Cola ทำกำไรได้ต่อเนื่องเป็นกอบเป็นกำ และยังได้ส่วนแบ่งการขายขนาดใหญ่จากต่างประเทศ และมียอดขายที่โตแบบรวดเร็วในอินเดีย ชนิดที่ไม่เคยขาดทุน อาจมีกำไรสุทธิลดลง 2% บ้าง ส่งผลให้ผลตอบแทนตกลงเหลือ 18.16% ในช่วง 2019-20 แต่หลังจากนั้นเพียงปีเดียว ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้นเป็น 18.63%
 

Procter & Gamble (PG)

แทบจะพูดได้เลยทุกครัวเรือนในสหรัฐมักจะมีสินค้า Procter & Gamble หรือ P&G อย่างน้อยหนึ่งชิ้นในบ้าน บริษัท P&G เป็นเจ้าแห่งสินค้าอุปโภคบริโภค ตัวอย่างแบรนด์ในเครือที่คนไทยคุ้นเคยก็จะมี Pampers, Head & Shoulders, Gillette, Olay, Oral-B, Downy, และ Duracell กลยุทธ์ธุรกิจที่ P&G ใช้มาจวบจนปัจจุบัน คือเข้าแข่งในตลาดที่มีเจ้าใหญ่กินส่วนแบ่งการตลาดเพียงหนึ่งหรือสองเจ้าเท่านั้น หากไม่สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดและขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ได้ก็จะลดปริมาณสินค้าลง ทำให้ P&G สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ง่าย หากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2020 PG มีการจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 2.27% และมีอัตรา P/E ที่ 25.55 แม้ว่าการลงทุนตามผู้อื่น อาจจะไม่เหมาะนัก เนื่องจากแต่ละคนมีปัจจัย แนวคิด และเป้าหมายการลงทุนต่างกัน แต่ตามการนักลงทุน VI ในตำนานอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด โดยเฉพาะการถือยาวแล้วให้เวลาสร้างการเติบโต
 

 

Credit: Adam Hayes นักเขียนที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านอนุพันธ์กว่า 15 ปี
https://www.investopedia.com/warren-buffett-s-6-best-long-term-picks-4773315
https://www.investing.com/equities/costco-whsl-corp-new-historical-data