4 ทางเลือก สำหรับการเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แม้ขั้นตอนการซื้อขายจะสามารถเข้าถึงและทำได้รวดเร็วขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ทั้งการเทรดผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่าง ๆ แต่ขั้นตอนการคัดเลือกหุ้นให้ตรงตามแผนการลงทุนนั้นถือเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐที่มีหุ้นให้เลือกกว่า 2,500 บริษัท โดยตลาด NYSE มีหุ้นอยู่ที่ 2,584 ตัว และตลาด NASDAQ อยู่ที่ 3,790 ตัว*
ตลาดอเมริกามีหุ้น 4 ประเภท ที่ช่วยจำกัดขอบเขตตัวเลือกให้นักลงทุนมือใหม่ เพื่อการหาข้อมูลก่อนลงทุนที่ง่ายขึ้น
หุ้น Blue-Chip เป็นหุ้นของบริษัทที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน แม้ไม่ได้เป็นจุดสนใจมากแต่ก็มีความเก่าแก่ มั่นคง หากมีการเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือเศรษฐกิจ บริษัทเหล่านี้มักจะรับมือได้ดี หุ้น Blue chips เหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่ เพราะคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เสี่ยงต่ำกว่าหุ้นประเภทอื่น
หุ้น Blue-chip ส่วนใหญ่มักอยู่ในดัชนี S&P 500 ที่ติดตามผลการดำเนินงานบริษัทใหญ่ในแต่ละอุตสาหกรรม เป็นบริษัทที่เติบโตต่อเนื่องหลายปี ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มนี้ได้แก่ Walmart, Visa และ Apple หุ้นคุณค่า
การลงทุนในหุ้นคุณค่า คือการหาหุ้นที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงผ่านการวิเคราะห์การเงินของบริษัท การลงทุนเน้นคุณค่าเองก็เป็นหลักการ-ความเชื่อของนักลงทุนชื่อดังหลาย ๆ ท่าน หนึ่งในนั้นคือ วอร์เรน บัฟเฟ็ต
ดัชนี S&P Global Index รวมเอาหุ้นคุณค่าเข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้เกณฑ์พิจารณา 3 ส่วน คือ สัดส่วน มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น, กำไร, และ ยอดขายต่อหุ้น บริษัทในดัชนีนี้ที่เราคุ้นชื่ออาทิ เช่น JP Morgan Chase (JPM), Bank of America (BAC), และ Walt Disney Company (DIS). หุ้นปันผล
นักลงทุนบางกลุ่มก็เน้นลงทุนเพื่อสร้างรายรับอีกทาง ผ่านหุ้นปันผล
เงินปันผลคือเงินส่วนหนึ่งที่บริษัทเตรียมไว้จ่ายผู้ถือหุ้น หลายบริษัทจ่ายแบบรายไตรมาส อาจจะจ่ายเป็นเงินสดหรืออาจนำไปลงทุนต่อหุ้น หากมองหาหุ้นปันผลอาจพิจารณาได้จากประวัติการจ่ายปันผล ซึ่งแสดงถึงสภาพทางการเงินของบริษัทในระยะยาว หุ้นปันผลดีในดัชนี S&P Global Index ที่มีการปรับเพิ่มเงินปันผลต่อเนื่อง 25 ปี เช่น Albemarle (ALB), Nucor (NUE), และ Chubb Limited (CB). หุ้นเติบโต
หลาย ๆ ดัชนีของ S&P Dow Jones ใช้เกณฑ์ 3 ด้านในการคัดหุ้นเติบโต ได้แก่ การเติบโตของยอดขาย, อัตราการเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิต่อราคา และ โมเมนตัม บริษัทที่เข้าเกณฑ์นี้ที่เรารู้จักกันดี เช่น Netflix (NFLX), Amazon (AMZN), และ Meta (FB) หรือ Facebook
กำไรของหุ้นเติบโตมักจะโตเร็วกว่าตลาด ในหลาย ๆ ครั้ง บริษัทสตาร์ทอัพในตลาดหุ้นมักจะเป็นหุ้นในหมวดนี้ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี แม้จะเสี่ยงสูงแต่ก็แลกมาด้วยโอกาสในการเติบโตที่รวดเร็ว Phillip Global เปิดให้นักลงทุนได้เข้าถึงหุ้น US จากตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่สุดในโลกได้แล้ว เริ่มต้นเพียง 50,000 บาท พร้อมบริการ Support 24 ชม. *ข้อมูลปลายไตรมาส 2 ปี 2022
Credit : Eric Rosenberg นักเขียนด้านการเงิน มีประสบการณ์ในด้านการธนาคารและการบัญชี https://www.thebalancemoney.com/tips-to-buy-your-first-stock-4142764 |